หมวดหมู่

โปรไฟล์

Imposter syndrome คืออะไร จะทำอย่างไรดีเมื่อขาดความมั่นใจในตัวเอง

อัพเดทล่าสุดเมื่อ 07/03/2021

เคยไหมครับเวลาที่จะทำอะไรซักอย่างแต่ไม่มีความมั่นใจที่จะทำ แล้วรู้สึกว่ามันไม่ใช่ความกลัวที่จะล้มเหลวด้วย แต่ลึกๆแล้วเราชอบรู้สึกว่าเรามีความสามารถไม่พอที่จะทำเรื่องนั้นได้ และกลัวว่าคนอื่นจะจับได้ว่าเราไม่มีความสามารถพอ ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว เราอาจจะทำได้ง่ายๆเลยด้วยซ้ำ ความคิดที่ได้กล่าวมานั้นเรียกได้ว่าเป็นอาการ Imposter syndrome นั่นเอง กอาการ Imposter syndrome อาจจะไม่สามารถทำให้หายขาดได้ แต่หากเรารู้ว่าจะจัดการกับความคิดและอาการเหล่านั้น มันอาจจะไม่น่ากลัวอย่างที่คิด วันนี้ Class-dd จะพาไปทำความเข้าใจกันครับ

Imposter syndrome คืออะไร

Imposter syndrome เป็นแนวการคิดที่เวลาเราลงมือทำอะไรซักอย่าง เราจะไม่กล้าที่จะทำเพราะกลัวว่าเราจะไม่มีความสามารถพอ หรือถึงแม้ว่าจะทำสำเร็จแล้ว เราก็จะคิดว่าเราทำได้เพราะโชคช่วย ไม่ใช่เพราะความสามารถของตัวเองเลย

Imposter syndrome นั้นมีสาเหตุได้จากหลายๆทาง จาการวิจัยพบว่าอาจจะเกิดจากความเครียดสะสม การทำงานของสมอง หรือแม้กระทั่งประสบการณ์ในวัยเด็ก เช่น เด็กที่ทำเกรดไม่ได้ตามที่พ่อแม่คาดหวังไว้ จะเหมือนเป็นการสร้างบาดแผลให้เด็กรู้สึกไม่ดีพอนั่นเอง

โดยอาการ Imposter syndrome จะเกิดขึ้นง่ายกว่าสำหรับกลุ่มคนเหล่านี้

  • Perfectionist หรือคนที่ตั้งมาตรฐานของงานทุกอย่างไว้สูงมาก ถึงแม้ว่าจะทำได้ 99% ของที่ตั้งใจไว้ คนเหล่านั้นก็จะถือว่ายังไม่ดีพอ
  • Experts หรือคนที่ต้องการรู้ทุกเรื่องแบบลงลึกก่อนที่จะลงมือทำอะไรซักอย่าง เช่น คนที่ไม่ลองสมัครมหาวิทยาลัยดีๆทั้งที่ตัวเองก็มีความรู้พอประมาณ แต่เพราะเป็นความที่คิดว่าตัวเองยังรู้ไม่พอ ทำให้เสียโอกาสนั้นๆไป
  • Soloist หรือพวกฉายเดี่ยว หากคนประเภทนี้มีคนมาช่วยทำงานหรือต้องใช้ความช่วยเหลือจากคนอื่น เขาจะรู้สึกล้มเหลวทันที
  • Superman / Superwomen หรือคนที่ผลักตัวเองให้ประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับในทุกๆด้าน พวกเขาจะรู้สึกกดดันอย่างมากหากทำงานชิ้นใดชิ้นหนึ่งไม่สำเร็จ

ตัวอย่างของ Imposter syndrome

ไมค์ แคนนอน-บรูคส์ (Mike Cannon-Brookes) หรือ CEO และผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท Atlassian อายุเพียง 40 ปี และมูลค่าบริษัทประมาณ 30,000 ล้านเหรียญ เขาน่าจะถือได้ว่าเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จอย่างมากที่สุดคนหนึ่งในโลกเลยก็ว่าได้ เขาพูดว่าตัวเขาเองนั้นรู้สึก ว่าความสำเร็จของเขานั้นเกินความสามารถของตัวเองไป และนี่เป็นหนึ่งคำอธิบายของ Impostor syndrome ได้อย่างดีเลยทีเดียว
โดยเขาได้เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่บริษัทของเขาได้ชนะเป็นตัวแทนประเทศออสเตรเลียไปแข่งขัน World Entrepreneur of the Year ที่มอนติคาร์โล กับตัวแทนของประเทศต่างๆ อีก 40 ประเทศ ตัวเขาเองรู้สึกว่าอยู่ผิดที่ผิดทางมาก รู้สึกว่าตัวเขาเองไม่ควรมาอยู่ตรงนี้เลย ระหว่างนั้นเองก็เหลือบมองไปเห็นชายวัย 65 ปี ที่นั่งอยู่ใกล้ๆ ไมค์เลยชวนคุยเพื่อลดความประหม่า จนได้ความว่าชายคนนั้นเป็นตัวแทนจากประเทศโปรตุเกส บริษัทที่ชายคนนั้นเป็นมีพนักงาน 30,000 และมียอดขาย 4,000 ล้านเหรียญ บริษัท Atlassian ของไมค์ ตอนนั้นมีพนักงาน 70 คน ส่วนยอดขายไม่ต้องพูดถึง เขารู้สึกอยู่ผิดที่ผิดทางมาก เลยพูดกับชายคนนั้นว่า “ผมบอกตามตรงเลยนะครับว่าผมไม่คิดว่าผมควรจะมาอยู่ที่นี่เลย มันเกินความสามารถผมไปมาก ผมคิดว่าเดี๋ยวคงมีคนคิดเรื่องนี้ออกแล้วส่งผมขึ้นเครื่องบินกลับไปออสเตรเลีย” ชายคนนั้นหันกลับมาหาไมค์ แล้วพูดเบาๆ ว่า “ผมรู้สึกเหมือนคุณเป๊ะเลย ผมก็คิดว่าความสามารถผมไม่พอจะมาที่นี่เหมือนกัน” ทันใดนั้น ไมค์เข้าใจเรื่องสองเรื่อง
  1. คนอื่นก็เป็น Impostor Syndrome เหมือนกัน
  2. ความสำเร็จไม่ได้ทำให้ Impostor Syndrome หายไป ถ้าจะว่าไปมันอาจจะยิ่งทำให้มี Impostor syndrome มากขึ้นด้วยซ้ำ ยิ่งสำเร็จอาจยิ่งเป็น Impostor Syndrome มากขึ้น
พอได้ฟังเรื่องด้านบนแล้ว แล้วเราจะสามารถจัดการกับ Imposter syndrome ได้อย่างไรหล่ะ

วิธีรับมือกับ Imposter syndrome

  1. เรียนรู้และกลั่นกรอง – แค่ได้อ่านบทความนี้ เราก้เหมือนเข้าใจ Imposter syndrome ไปแล้ว ค่อยๆกลั่นกรองความคิดให้เราคิดถึงอาการของ Imposter syndrome ไว้ และอย่าให้มันมามีผลกับชีวิตเรามากจนเกินไป
  2. ตื่นตระหนกได้แต่อย่าเพิ่งรีบตัดสิน – เมื่อมีอะไรเข้ามา เป็นทำธรรมดาที่เราจะตื่นตระหนกหรือมีความคิดที่ว่า เอ๊ะ เราทำไม่ได้หรอก ให้ค่อยๆคิดหาทางออกหรือวิธีที่จะทำ ถึงแม้ว่าเราคิดว่าผลลัพธ์อาจจะออกมาไม่ดี แต่ขอให้ลองทำไปก่อน หากตื่นตระหนกให้กลับไปคิดถึงข้อ 1 แล้วอย่าให้อาการของ Imposter syndrome มาครอบงำตัวเรา
  3. หาทางออก – สุดท้ายแล้ว Imposter syndrome นั้นอาจจะไม่ได้หายไปไหน แต่หากเรารู็จักวิธีจัดการกับมันแล้ว มันจะไม่กลายเป็นอาการที่น่ากลัวอย่างที่คิด

สุดท้ายนี้ทาง Class-dd ก็อยากจะเอาใจช่วยให้ทุกคนประสบความสำเร็จในทั้งการเรียนและการทำงาน ก้าวข้ามและรับมืออาการ Imposter syndrome ไปให้ได้ และฝากติดตามเพจ Facebook : class-dd เพื่อที่จะไม่พลาดบทความใหม่ๆเกี่ยวกับการศึกษา ที่เราจะมีมาให้อ่านกันทุกๆสัปดาห์ สำหรับวันนี้ลาไปก่อนแล้วพบกันใหม่ครับ